วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

ยุคเริ่มต้นของจักรยานBMX

จักรยาน 2 ล้อ รุ่นแรก
ประวัติความเป็นมาของจักรยาน BMX
ทำความรู้จักถึงความเป็นมา ต้นกำเนิด
จักรยานสองล้อรุ่นแรก ๆ ที่เป็นต้นแบบของจักรยานสองล้อในปัจจุบันมีกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2343 ในปี พ.ศ. 2408  ได้มีการผลิตจักรยาน 2 ล้อ รุ่นหนึ่งซึ่งมีตัวล้อเป็นเหล็ก  และมีขอบล้อทำด้วยไม้  กำลังเคลื่อนล้อได้มาจากแรงปั่นด้วยเท้าบนบันไดทั้งสองของรถจักรยาน  เหมือนกับในรถสามล้อถีบปัจจุบัน  ในช่วงต่อมาได้มีการใช้ล้อทำด้วยยาง    และในราวปี พ.ศ. 2423-2433  ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางล้อหน้าได้ขยายใหญ่ขึ้นถึง 60  นิ้ว  ซึ่งทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทางถึง 16  ฟุต จากการปั่นบันไดรถจักรยานหมุน 1 รอบ  อันมีผลให้มันสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง  ทั้งในแนวราบและวิ่งลงเขาแต่สำหรับการขี่ขึ้นทางชันนั้นจะต้องออกแรงเป็น อย่างมาก นอกจากนั้นการที่จุดศูนย์ถ่วงของตัวจักรยานอยู่สูงทำให้มันมีแนวโน้มที่จะ พลิกคว่ำหรือเกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย  ดังนั้น  ในราวปี พ.ศ. 2428  จึงได้มีการผลิตจักรยานรุ่นใหม่ที่มีรูปลักษณะเหมือนจักรยานสมัยใหม่ใน ปัจจุบัน  คือ ล้อทั้งสองมีขนาดเท่ากัน  และมีเฟืองที่บันไดรถ  เพื่อถ่ายทอดกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลัง  ทำให้เกิดลักษณะการขับขี่มั่นคงกว่าเดิม  และยังให้อัตราทดกำลังด้วยการเลือกใช้เฟืองทดกำลังที่เหมาะสมสำหรับขับขี่ โดยเฉพาะด้วยความเร็วต่ำแต่เบาแรงกว่าในขณะปั่นขึ้นเขาหรือทางชัน
จักรยาน BMX เกิด ขึ้นประมาณยุค 70 ใน ทางตอนใต้ของคาลิฟอร์เนีย โดยกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งได้ปรับแต่งจักรยานขนาดล้อ 20 นิ้ว ซึ่งพวกเขาได้แรงบรรดาลใจจากการชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการแข่งขัน จักรยานยนต์  Motocass  แล้วทำให้เป็นที่นิยมกันมากในตอนนั้น การแข่งขันจักรยานวิบากแบบ BMX (Bicycle Moto Cross)  ที่ มีวงล้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นิ้ว ในประเภทความเร็ว(Racing) ได้เป็นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้แพร่ขยายไปทั่วโลกในเวลาอัน รวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานนักขี่หลายๆคนได้ฝึกท่าทางพลิกแพลงผาดโผนในแบบ ต่างๆ เพื่อความสนุกสนาน และใช้โชว์ออฟกันในกลุ่มเพื่อนๆ ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะในการควบคุมรถได้อย่างดี และเมื่อมีโอกาส ก็มักจะได้นำท่านั้นมาออกโชว์กันในช่วงพักของการแข่งขัน หรือในการโปรโมท์ ให้กับสปอนเซอร์ของตน ซึ่งจะเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีทีเดียว ต่อมาเมื่อมีท่าทางหลากหลายมากขึ้น  นักขี่หล่าวนั้นได้หันมาเน้นฝึกแต่ท่า พลิกแพลง(Tricks)  อย่างจริงจัง จน กระทั่งได้กลายเป็นกีฬาประเภทใหม่ที่เน้นฝึกเฉพาะแต่ท่าผาดโผนอย่างเดียว  และได้พัฒนาท่าพลิกแพลงเหล่านี้ให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ น่าสนใจคือ ในยุคนั้นท่ายังไม่มีมากนัก จึงมีการคิดค้นลีลาต่างๆ ออกมาใหม่ ตลอดเวลา นักขี่แต่ละคนจะมีท่าเป็นของตนเอง ไม่ค่อยจะซ้ำกันนัก นักขี่กลุ่มนี้จึงถูกขนานนามว่า "Freestyler" และได้เริ่มมี การจัดการแข่งขันเฉพาะทางขึ้น นักขี่ที่มีชื่อที่สุด
คนหนึ่งในช่วงนั้น คือ Bob Haro ซึ่งถือได้ว่าเป็น "Father of Freestyle" (ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทจักรยานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบริษัทหนึ่ง)
ใน ราวปี 1985 เป็นต้นมา ทางบริษัทผู้ผลิตจักรยานหลายๆราย ได้มีการผลิตอะไหล่ ที่ทำไว้สำหรับการเล่นท่า Freestyle ได้แก่ตัวถังที่มีที่ยืนตรงหลักอาน, ที่ยืนตรงแฮนด์, ที่ยืนตรงแกนล้อ และตะเกียบฯลฯ  การจัดแข่งขันเริ่มมีมากขึ้นมีการรวมตัวนักขี่ผาดโผน จัดตั้งเป็นทีม Freestyle  อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงนี้เอง ที่สมาคม AFA(American Freestyle Association) ได้เข้ามาผูกขาดในการจัดแข่งขันครั้งใหญ่ๆ นักขี่เอือมกับกติกาหยุมหยิม เช่น Flatland ก็ให้ใส่หมวกกันน๊อก และกรรมการเป็นคนธรรมดาไม่รู้จักการให้คะแนน โดยเฉพาะท่ายากๆหรือท่าใหม่ๆ  แบนนักขี่ที่ไปแข่งงานอื่น  จัดแบ่งรุ่น(Class)ละเอียดยิบ ซึ่งนอกจากจะแบ่งตามรุ่นอายุ ยังมีรุ่นสมัครเล่น ( Amateur ) และรุ่นมืออาชีพ ( Pro ) ซึ่งนักขี่จะลงได้หลายรุ่น ปัญหาจึงอยู่ที่คนที่มีฝีมือดียังไม่ยอม Turn Pro ง่ายๆเพราะยังหวงตำแหน่งอยู่ต่อมาในยุค 90  AFA ยกเลิกการจัดแข่ง ทำให้วงการเงียบเหงาไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้ Mat Hoffman ซึ่งเป็นนักขี่ ได้ริเริ่ม จัดงานแข่งขึ้นเองชื่อ Bike Stunt Series หรือ BS ซึ่งเป็นการปลุกผีวงการขึ้นมาอีกครั้ง และได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนกระทั่ง ESPN ช่องกีฬายักษ์ใหญ่ได้มาติดต่อขอซื้อรายการต่อ  จัดให้มีการนำภาพจากการแข่งไปออกอากาศทั่วโลก และต่อมาได้รวบรวมกีฬาสุดขั้วหรือ Extreme Sports เข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อ “X-GAMES”

การรวมตัวนักขี่ผาดโผน

กว่าจะมาเป็น BMX
BMX (Bicycle Motocross) ได้ถือกำเนิดมาจากฝั่งประเทศตะวันตก ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จากกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่อยากจะขี่จักรยานได้เหมือนกับจักรยานยนต์วิบาก (Motocross)โดยได้มีการนำจักรยาน ประเภท Stingray มาขี่ในสนามทำขึ้นเหมือนกับสภาพสนามการแข่งขันจักรยานยนต์วิบาก (Motocross) โดยในยุคเริ่มต้นของจักรยาน BMX นั้นมีการปรับปรุงสมรรถนะของจักรยานโดยมีการนำระบบกันสะเทือน (Shock-Up) มาใช้กับตัวโครงรถและตะเกียบด้านหน้า แต่เนื่องจากน้ำหนักที่มากบวกกับราคาที่ค่อนข้างสูง และเพื่อให้ได้มีการใช้งานอย่างคล่องตัวและเด็กๆสามารถจะเป็นเจ้าของรถอย่าง ไม่ยากเย็น ผู้ผลิตจักรยานในยุคนั้นจึงได้มีการปรุงและลดชิ้นส่วนต่างๆที่ไม่จำเป็นออก ไป รูปแบบของจักรยาน BMX ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจึงได้กำเนิด ณ จุดนี้เอง

BMX ในประเทศไทย
จากอิทธิพลดังกล่าว ความนิยมของรถจักรยานประเภทวิบาก (Bicycle Motocross) ได้รับความนิยมและมีการแพร่หลายไปยังทั่วทุกมุมรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งในช่วง พ.ศ. 2518 นี้เองก็เป็นช่วงหนึ่งของหน้าประวัติรถจักรยานประเภทวิบากที่เรียกกันว่า Bicycle Motocross ช่วงนี้เองเป็นช่วงที่เด็กไทยมีความใฝ่ฝันอยากจะได้รถในฝันของตัวเองที่ สามารถขี่ได้เหมือนกันกับสื่อที่ได้เห็นตามหน้าหนังสือรวมทั้งภาพยนตร์ ยุคนี้เองไม่มีใครที่จะปฎิเสธที่จะไม่รู้จักรถจักรยานที่มีโช๊คอัพอยู่ตรง กลางนาม “Merida Mono-Shock” จะเห็นได้จากทุกๆสนามการแข่งขันนั้นล้วนแล้วแต่จะมีรถยี่ห้อปรากฏอยู่ทุกๆ สนามไป
ในยุคของการแข่งขันแรกๆนั้น (พ.ศ. 2519-2524) จักรยานประเภทวิบากนี้ยังต้องอาศัยสนามแข่งขันเดียวกับรถจักรยานยนต์วิบาก มีการสลับขั้นรายการระหว่างการแข่งทั้ง 2 ประเภทนี้ และช่วงระหว่างปีนี้เองนักแข่งหลายๆคนเริ่มที่จะมีการใช้จักรยาน BMX เข้าร่วมการแข่งขันเนื่องจากน้ำหนักที่เบากว่ารถประเภทโมโนโช๊คหลายตัว ใช้งานคล่องตัว เริ่มมีปรากฏให้เห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากยี่ห้อ โอลด์อีเกิ้ล ไปจนถึง ปรีดา BMX ไปจนหลากหลายยี่ห้อที่ผู้ผลิตจักรยานในประเทศไทยได้พัฒนาและผลิตขึ้นเพื่อ ตอบสนองความต้องการอันล้นหลาม ปีพ.ศ 2524-2526 ปีนี้เองนับเป็นปีทองที่รุ่งเรืองของจักรยาน BMX เนื่องจากความเสื่อมถอยความนิยมของรถโมโนโช๊คที่มีน้ำหนักมากบวกกับราคาของ จักรยาน BMX ที่ถูกขึ้นเรื่อยๆนั้นส่งผลให้รถโมโนโช๊คได้หายตายไปกับสนามการแข่งขัน จักรยานประเภทวิบาก ภาพที่เห็นในช่วงนั้นจะมีแต่จักรยาน BMX เท่านั้นเอง อะไหล่ดีๆจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น และ อเมริกาก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยโดยร้าน, ห้างหุ้นส่วนต่างๆ ต่างก็ประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจเนื่องจากผลพวงความนิยมของจักรยาน BMX นี้เอง
ยุคนี้มีการจัดแข่งกันทั่วสารทิศ นักแข่งฝีมือดีๆเริ่มปรากฏ รวมทั้งทีมแข่งจากหลากหลายสังกัดที่เริ่มเฟ้นหานักแข่งฝีมือเข้าประจำสังกัด ของตนเอง ส่วนรายการการแข่งขันจักรยานยนต์วิบากนั้นไม่มีงานไหนที่จะไม่มี BMX ปรากฏ

BMX (Bicycle Moto Cross)

ยุคสลายของวงการ BMX ในประเทศไทย
แฟชั่นและอารยะธรรมทางเทคโนโลยีที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยที่มีผลให้เด็ก ไทยในสมัยนั้น เริ่มเปลี่ยนแปลงความสนใจการที่เคยมีแต่จักรยาน BMX อย่างเดียวเปลี่ยนมาเป็นจักรยานประเภทเล่นท่า (Freestyle BMX), เกมส์กด, ตู้เกมส์ , โรลเลอร์สเก็ต ฯลฯ รวมทั้งน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2526 ที่ทำให้จักรยานดีๆหลายคันได้จมหายไปและอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับผู้จัดการแข่ง ขันหลายรายทำให้ความนิยมรถจักรยาน BMX เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วจนหมดไปจนเหลือแต่ภาพทรงจำที่รุ่งเรืองในอดีต
OLD SCHOOL BMX Thailand
กลุ่ม OLD SCHOOL BMX Thailand ได้ก่อกำเนิดขึ้นจากกลุ่มคนในวัยที่เคยลิ้มและได้สัมผัสกับความรุ่งเรืองใน อดีตของจักรยาน BMX และได้เล็งถึงคุณค่าของจักรยาน BMX รุ่นเก่าหลังจากที่หายไปจากท้องถนนร่วมระยะเวลากว่า25ปี จึงรวมตัวกันขึ้นโดยจุดประสงค์หลักที่อยากให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสได้เห็น และสัมผัสสิ่งที่เคยรุ่งเรืองของจักรยาน BMX โดยจัดนำเสนอรถจักรยาน BMX ที่ได้เคยรับความนิยมในอดีตที่ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ดีและได้รับการบูรณะ ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งสามารถหาดูได้ยากมากๆ ณ ปัจจุบัน เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนรุ่นใหม่ๆที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนรวมทั้งผู้สนใจ ทั่วไปทั้งที่เคยและไม่เคยสัมผัสรถจักรยานประเภทนี้มาก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น